วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตัวอย่างบทวิจารณ์วรรณกรรมแนวรื้อสร้าง

เพื่อแสดงให้เห็นวิธีการอ่านแนวรื้อสร้างจะขอยกตัวอย่างบทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ชื่อ ปณิธานกวี โดยจะเลือกพิจารณาโคลงบทแรกเพียงบทเดียว ซึ่งเป็นบทที่นักอ่านส่วนใหญ่ต่างประทับใจ และสามารถท่องได้ คือ
ฉันเอาฟ้าห่มให้                   หายหนาว
                                ดึกดื่นกินแสงดาว                                ต่างข้าว
                                น้ำค้างพร่างกลางหาว                        หาดื่ม
                                ไหลหลั่งกวีไว้เช้า                               ชั่วฟ้าดินสมัย
เมื่อพิจารณาโครงสร้างทางภาษาและความหมายของบทกวีนี้แล้ว อาจกล่าวได้ว่าบทกวีก่อนนี้ประกอบด้วยโครงสร้างสองระดับ ซึ่งเขียนเป็นผังได้ดังนี้
ในระดับที่หนึ่ง
ผู้กระทำ                 การกระทำ                             ผู้ถูกกระทำ                           ผลการกระทำ
                                ห่ม                                          ฟ้า                                           หายหนาว
ฉัน                          กิน                                          แสงดาว                                 หายหิว
                                ดื่ม                                          น้ำค้าง                                    หายกระหาย
ในระดับที่สอง
ผู้กระทำ                 การกระทำ                             ผู้ถูกกระทำ                           ผลการกระทำ
ฉัน                          ไหลหลั่ง                               บทกวี                                     บทกวีเป็นอมตะ

(ผลรวมจากระดับที่หนึ่ง ผู้ห่มฟ้า/กินแสงดาว/ดื่มน้ำค้าง)


           จากโครงสร้างข้างต้น เราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของหน่วยความหมายแต่ละหน่วยในบทกวีชิ้นนี้ได้ชัดเจนว่าบทกวีชิ้นนี้สื่อให้เห็นถึงคุณค่าอันสูงส่งของกวีและกวีนิพนธ์ ผ่านการสร้างคู่ตรงข้ามระหว่างจิตวิญญาณ-วัตถุ (โดยด้านที่เป็นจิตวิญญาณนั้นสื่อผ่านองค์ประกอบของจักรวาล ส่วนด้านที่เป็นวัตถุนั้นบทกวีใช้วิธีการละไว้ให้ผู้อ่านต่อเติมได้เอง) นั้นคือคู่ตรงข้ามระหว่างการห่มฟ้า/ห่มผ้าห่ม การกินแสงดาว/การกินข้าว และการดื่มน้ำค้างกลางหาว
/การดื่มน้ำ และกวี/ปุถุชน

การอ่านแบบรื้อสร้างนั้นจะเป็นการสานต่อและต่อต้านวิธีการแบบโครงสร้างข้างต้นได้ดังนี้
แม้ว่าบทกวีก่อนนี้จะสถาปนาโครงสร้างที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าอันสูงส่งของกวีนิพนธ์และกวี  แต่ตรรกะของโครงสร้างที่บทกวีท่อนนี้สถาปนาไว้ โดยตัวมันเองแล้วเป็นการบั่นทอนคุณค่าของกวีนิพนธ์และกวีอยู่ในที 
กล่าวคือจากโครงสร้างข้างต้นเราจะเห็นว่า ฉัน ในบทกวีแม้จะดูเหมือนว่ายิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าปุถุชนทั่วไป แต่เราก็พบว่า  ฉัน นั้นมิได้หลุดจากความต้องการทางกายภาพของมนุษย์ นั่นคือยังรู้หนาว  รู้หิวและกระหาย และยิ่งกว่านั้น ฉัน มิอาจหลุดพ้นจากกิจกรรมการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ไปได้ เพราะยังคงต้องห่ม ต้องกินและดื่ม ที่สำคัญไปกว่านั้นกิจกรรมการบริโภคกลายเป็นเงื่อนไขกำหนดการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์
ระบบคู่ตรงกันข้ามระหว่าง จิตวิญญาณ/วัตถุ นั้น ในท้ายที่สุดจึงสื่อความหมายทั้งสองทิศทางที่ตรงข้ามกัน คือทั้งในด้านที่จิตวิญญาณสูงส่งกว่าวัตถุ และวัตถุสูงส่งกว่าจิตวิญญาณ
                และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ โครงสร้างความสัมพันธ์ของหน่วยความหมายที่บทกวีชิ้นนี้สถาปนาขึ้น  ในท้ายที่สุดแล้ว มีส่วนสำคัญในการล้มล้างคุณค่าของกวีนิพนธ์ และกวีที่บทกวีชิ้นนี้พยายามจะสื่อ เพราะวาทกรรมที่บทกวีชิ้นนี้ใช้เพื่อนำเสนอกระบวนการสร้างกวีนิพนธ์คือ กวีแปรรูปธรรมชาติเพื่อผลิตงานประพันธ์  ซึ่งไม่ต่างจากวาทกรรมของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่พูดถึงการผลิตสินค้าว่าคือ นายทุนแปรรูปวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า
                เมื่อหันมาพิจารณาที่คำกริยา ไหลหลั่ง ซึ่งทำหน้าที่เสมือนแกนกลางทางความหมายของโคลงบทนี้  และเป็นอุปลักษณ์เชิงอุทกที่งดงาม เราจะพบว่าโดยปกติแล้วคำกริยานี้จะปรากฏในบริบทที่ไม่ใช่กิจกรรมการประพันธ์ กล่าวคือ เราไม่คาดหวังว่ากรรมของกริยาจะเป็นบทกวี แต่คำว่า ไหลหลั่ง จะเข้ากันได้ดีกับบริบทที่สื่อถึงกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการสืบพันธุ์
                โดยนัยนี้จึงเท่ากับว่าตัวละครกวีได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพ่อของบทกวีที่ตนสร้างขึ้น และตัวบทกวีก็ลดสถานะลงมาเป็นเพียงลูกหรือผลผลิตของกวี หากเราเชื่อตามตรรกะที่ปรากฏในโคลงบทนี้ว่า บทกวีที่สร้างขึ้นนั้นเป็นอมตะ ข้อสรุปที่ตามมาอย่างมิอาจปฏิเสธได้คือ ตัวละครกวีใช้บทกวีเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นอมตะให้แก่ตนเอง

สรุป

                จากที่กล่าวมาทั้งหมด พอจะเห็นได้ว่าการอ่านวรรณกรรมในแนวรื้อสร้าง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ศึกษาวรรณกรรมได้ เล่น กับคติความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ที่แฝงอยู่ในตัวบทวรรณกรรม โดยที่ผู้แต่งจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
และไม่ว่าอย่างไร การเล่น ดังกล่าวนี้ ต้องอิงอยู่กับความรู้พื้นฐานที่หนักแน่น ผู้เล่น ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและโครงสร้างได้อย่างเชี่ยวชาญ แล้วจึงจะกระทำกิจกรรมการ รื้อสร้าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                ทฤษฎีรื้อสร้าง เพิ่งจะเริ่มความคิดในปี ค.ศ. 1966  บาร์ธส์และแดริดา เพิ่งจะเริ่มนำไปทดลองใช้วิจารณ์วรรณกรรมราวปีทศวรรษที่ 1980 เรายังคงตอบไม่ได้ว่าทฤษฎีนี้จะได้รับความนิยมเพียงไร มีช่องโหว่ในตัวเองหรือไม่ คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งเราจึงจะรู้ผลของทฤษฎีนี้ได้ แต่บทวิจารณ์แนวรื้อสร้างของ ชูศักดิ์  ภัทรกุลวณิชย์ ที่ได้พยายามจะตรวจสอบคุณค่าของกวีนิพนธ์บทนี้ด้วยการรื้อความหมายที่เราเข้าใจและยอมรับคุณค่ากันมานานแล้ว คุณค่าของกวีนิพนธ์บทนี้จะยังคงความหมายอันจริงแท้ (absolute truth)  ความหมายที่มีคุณค่าจริงๆ ต่อมนุษย์ต่อไปอีกได้หรือไม่
ในต่างประเทศมีนักวิจารณ์บางคนให้ความเห็นว่า การวิจารณ์แนวรื้อสร้างคงได้รับความนิยมไม่นาน เพราะไม่มีหลักเกณฑ์และเหตุผลอันใดที่จะเชื่อถือและยึดมั่นได้

โดย วิชุนรา 
อ้างอิง
ลินจง  จันทรวราทิตย์. 2548. วรรณกรรมวิจารณ์. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
               มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การรู้จักใช้ภาษาอย่างสร้างสรรค์

       การใช้ภาษาอย่างสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ดีต่อคนรอบตัวเรา ซึ่งการใช้ภาษาอย่างมีลักษณะริเริ่มในทางที่ดีนั้น อาจจะแสดงออกในในรูปแบบของคำขวัญ คำคม หรือข้อคิดต่างๆหรือในแนวเตือนระมัดระวัง
ให้ปฏบิติตามในทางที่ดีงาม ในรูปแบบของการสร้างสรรค์ของภาษา ให้ผู้อ่านการความเข้าใจ
        ธรรมชาติได้กำหนดการใช้งานของสมองของคนเราไว้ 2 ซีก คือ ซีกซ้ายทางด้านการคิดคำนวณ ค้นหาเหตุผล และวิเคราะห์ ซีกขวาในด้านความคิดในทางดนตรี ศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์ด้านต่างๆ
        การใช้ภาษาอย่างสร้างสรรค์ได้นั้นต้องรู้จักใช้ความคิดอย่างรอบด้าน ไม่ยึดติดแนวความคิดด้านเดียว คิดอย่างเป็นระบบและหาเหตุผลเปรียบเทียบ ฝึกเป็นคนช่างสังเกตจดจำ พยายามเรียนรู้ทุกอย่างในเรื่องที่สนใจให้ได้มาก และเมื่อการกระทำประสบผลสำเร็จแล้ว จะต้องพัฒนาแนวความคิดให้ดีกว่าเดิมอยู่เสมอ โดยหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อจะได้ความคิดที่แปลกใหม่
       

วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

การวิจารณ์วรรณกรรมในสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗)

การวิจารณ์กวีนิพนธ์ในอดีต
                ในสมัยกรุงศรีอยุธยา หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนเกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณคดี ซึ่งคู่กับการแต่งหนังสือก็คือ จินดามณี ของพระโหราธิบดี แห่งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (๒๑๙๙-๒๒๓๑) สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิจารณ์วรรณคดีคือตอนที่อธิบายถึงวิธีแต่งกาพย์กลอน พร้อมทั้งตัวอย่างฉันท์ ซึ่งคัดมาจากคำฉันท์เรื่องต่างๆ มากมาย รวมทั้งตัวอย่างโคลงที่คัดมาจากลิลิตพระลอด้วย
                หากสมมุติฐานว่า “การศึกษาทางวรรณคดีวิจักษ์ (หรือความตระหนักค่าของวรรณคดี) และวรรณคดีวิจารณ์อยู่คู่กับการศึกษาการแต่งหนังสือ” เป็นที่ยอมรับอย่างทั่วไปแล้ว ก็ย่อมสรุปได้ว่า จินดามณีเป็นหนังสือไทยที่ให้แนวทางวรรณคดีวิจารณ์เล่มแรก และพระโหราธิบดีก็นับได้ว่าเป็นผู้วิจารณ์วรรณคดีคนแรกของไทย ด้วยการวินิจฉัยตัดสินเพื่อคัดเลือกตัวอย่างร้อยกรองที่ไพเราะเหมาะสมที่จะใช้เป็นแบบอย่างสั่งสอนกุลบุตรผู้ศึกษา
                สรุปได้ว่า ต้นแบบแนวคิดการวิจารณ์วรรณคดีของไทยนั้นมาจากอินเดียโบราณหรือวรรณคดีสันสกฤต แล้วคนไทยได้นำมาผสมผสานอย่างแนบเนียนกับวิญญาณแห่งนักวิจารณ์ของคนไทย ซึ่งเน้นความมีระเบียบแบบแผน ความประณีตงดงาม และมีคุณค่า
                ตามประวัติวรรณคดีไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยต้นรัตนโกสินทร์ลักษณะการแต่ง แนวคิด และวัฒนธรรมในทางวรรณคดีไทยมีลักษณะเป็นมรดกวัฒนธรรมอินเดียโบราณ ทั้งวัฒนธรรมของลัทธิฮินดู หรือลัทธิพราหมณ์ ดั้งนั้นการวิเคราะห์วิจารณ์นอกจากจะใช้แนวทางสากลแล้ว อาจจะต้องใช้ความรู้ทางอารยธรรมอินเดียประกอบด้วยตามสมควร
การวิจารณ์ในรัชกาลที่ ๒
                ในรัชกาลที่ ๒ จัดว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรม จนกล่าวได้ว่า ถ้าใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด
เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองมีความสงบ พระมหากษัตริย์และกวีต่างๆ จึงให้ความสนใจในวรรณกรรมเพื่อความเพลิดเพลินมากขึ้น
                วรรณกรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอยู่ในระยะเวลาก่อนรับอิทธิพลตะวันตก ลักษณะของวรรณกรรมคือ นิยมแต่งเป็นร้อยแก้ว เน้นหนักในด้านศิลปะของการแต่ง เรียบเรียง คุณค่าของวรรณคดีในยุคนี้จึงอยู่ที่ศิลปะการแต่งมากกว่าเนื้อเรื่อง จึงทำให้เนื้อเรื่องในยุคนี้จำกัดอยู่ในวงแคบ ซึ่งเกี่ยวกับศาสนา คำสอน
                ส่วนธรรมเนียมในการแต่งนั้น มีการวางโครงสร้างอย่างมีแบบแผน ทั้งยังมีธรรมเนียมนิยมในการบรรยายและการพรรณนาอย่างเข้าแบบ จึงนับได้ว่ามีลักษณะทางมัณฑศิลป์ มีสำนวนประดิษฐ์  เล่นคำ เล่นเสียง เล่นความ และโวหารเป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ
                ซึ่งธรรมเนียมนิยมในระยะนี้คือการแต่งเป็นร้อยกรองยาวๆ  เป็นวรรณกรรมเพื่ออารมณ์มากกว่าที่จะเป็นวรรณกรรมเพื่อปัญญา ซึ่งในสมัยนี้กวีมีความเป็นอยู่สอดคล้องกับสังคมซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่อช้า พอใจในสภาพความเป็นอยู่ของตน จึงไม่มีบทประพันธ์ขัดแย้ง ดิ้นรน หรือแสดงความเดือดร้อนและการกดดันใดๆในด้านที่เกี่ยวกับศาสนา พระมหากษัตริย์ ส่วนวรรณคดีที่เป็นประเภทร้อยแก้วนั้น ผู้แต่งมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าให้เป็นวรรณคดี แต่เนื่องจากมีการเรียบเรียงที่สละสลวย จึงได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณคดีนั่นเอง
วรรณกรรมไทยยกย่องช่วงเวลาสมัยรัชกาลที่ ๒ ว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีไทยเนื่องจากวรรณกรรมสมัยนี้มีคุณค่าทางวรรณศิลป์สูงส่ง เหตุผลสำคัญที่ทำให้การส่งเสริมวรรณกรรมประสบผลสำเร็จอาจประมวลได้จากการที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระปรีชาด้านอักษรศาสตร์อย่างแท้จริง ทรงศึกษาอักษรศาสตร์จากพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง คือ สมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่) วัดระฆัง ประกอบกับทรงสนพระราชหฤทัยจริงจังในพระราชกรณียกิจนี้ด้วย ทำให้งานส่งเสริมวรรณกรรมเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
นอกจากจะทรงสนพระทัยวิชาอักษรศาสตร์แล้ว ยังทรงสนพระทัยศิลป์ด้านอื่นๆ อันเป็นเหตุเกื้อหนุนวรรณคดีเป็นอย่างมากด้วย กล่าวคือเมื่อทรงส่งเสริมดนตรี บทขับร้องและบทเสภาก็พลอยได้รับการส่งเสริม การละครก็เช่นกัน วรรณกรรมบทละครเจริญสูงสุดสมัยนั้นก็เพราะการส่งเสริมการละครทั้งละครและละครในนั่นเอง การส่งเสริมวรรณกรรมสมัยนั้นกระทำอย่างมีระเบียบแบบแผนและถูกต้องตามหลักวิชาการ กล่าวคือได้จัดตั้งวงกวีขึ้นในราชสำนัก มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์ประธานประกอบด้วยหลักกวีสำคัญๆอีกเป็นอันมาก งานวรรณกรรมเรื่องใหญ่ๆถูกจัดสรรให้กวีรับไปแต่งตามความถนัดของตน และเมื่อแต่งแล้วยังโปรดให้นำมาอ่านให้ที่ประชุมวิจารณ์อีก อาจกล่าวได้ว่าการวิจารณ์วรรณกรรมไทยได้เริ่มต้นขึ้นในสมัยนั้น เมื่อกวีสร้างวรรณกรรมขึ้นตามขั้นตอนดังกล่าว วรรณกรรมจึงมีคุณภาพทางวรรณศิลป์อย่างแท้จริง
การส่งเสริมวรรณกรรมสมัยนั้นมีรากฐานสำคัญจากการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ ๑ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงรวบรวมวรรณกรรมเก่าอย่างจริงจัง และทรงนำวรรณกรรมสำคัญมาชำระ ปรับปรุงและแต่งใหม่ ทำให้วรรณกรรมเรื่องและรายละเอียดต่างๆ สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ การส่งเสริมวรรณคดีในสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงตัดภาระเรื่องการสืบหาต้นฉบับการลำดับเนื้อเรื่องและรายละเอียดไปได้ กวีในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้เลือกคัดวรรณกรรมที่รวบรวมและเรียบเรียงเป็นระเบียบแล้วนั้นมาปรับปรุงคุณภาพทางวรรณศิลป์ เรื่อง อิเหนา และรามเกียรติ์ เป็นต้น
สมัยรัชกาลที่ ๒ มีกวีเด่นๆเป็นจำนวนมาก (เป็นผลมาจากการฟื้นฟูวรรณกรรมสมัยรัชกาลที่ ๑ ด้วย ) และกวีเด่นดังกล่าวมีความสามารถเฉพาะตัวต่างๆกัน ทำให้งานสร้างสรรค์วรรณคดีสมัยนั้นเป็นงานที่หลากหลายในประเภทของวรรณกรรม คือมีวรรณกรรมประเภทต่างๆมากมาย และวรรณกรรมแต่ละประเภทมีความงามพิเศษตามความถนัดของกวีด้วย เช่น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงถนัดพระราชนิพนธ์กลอนละคร กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงถนัดด้านโคลงและฉันท์ พระยาตรังค์ฯ ถนัดด้านโคลงดั้น นายนรินทรธิเบศร์ทางโคลงสุภาพ และสุนทรภู่ถนัดทางกลอนทั่วไป เป็นต้น กวีดังกล่าวเป็นกวีที่มีความรู้และความสามารถสูงทั้งสิ้น งานวรรณคดีประเภทต่างๆตามความถนัดของกวีจึงมีคุณภาพสูงส่งเป็นที่ยอมรับจนทุกวันนี้
กวีสมัยรัชกาลที่ ๒ มีหลากหลายท่านที่ปรากฏซื่อเด่นมากคือ
.พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
.กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
.สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
.พระยาตรังคภูมิบาล
.พระสุนทรโวหาร (ภู่)
.นายนรินทรธิเบศร์ (อิน)
นอกจากนั้น ยังมีกวีไม่ปรากฏนาม แต่มีผลงานที่น่าสนใจอีกส่วนหนึ่งด้วย



สรุป
                วรรณคดีไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยเฉพาะละครคำกลอนได้เจริญเฟื่องฟูอย่างยิ่ง ราชสำนักของพระองค์เป็นที่ชุมนุมของกวี นักปราชญ์ สำหรับพระองค์ก็ทรงสนพระทัยและสนับสนุนด้านการละครอย่างมาก โดยทรงโปรดให้หัดตัวละครรุ่นใหม่ๆ ขึ้น บทละครบางเรื่องทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้ใช้สำหรับเล่นละคร ในการทรงบทละครนั้น ทรงเลือกสรรเจ้านายและข้าราชการที่เป็นกวีชำนาญกลอนไว้สำหรับทรงปรึกษา เช่น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี และขุนสุนทรโวหาร บทละครใดที่ไม่ได้พระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ก็จะพระราชทานให้กวีที่ปรึกษานำไปแต่ง ตอนใดที่ทรงพระราชนิพนธ์ หรือกวีทีนำไปแต่งแล้วนำมาถวาย ก็จะนำมาอ่านหน้าพระที่นั่งในที่ประชุมกวีเพื่อช่วยกันแก้ไข
จะเห็นว่า การวิจารณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือ การที่มีการนำงานที่ประพันธ์ขึ้นมาอ่านให้ที่ประชุมวิจารณ์อีก หากมีการแต่งบกพร่องหรือไม่ครบตามแบบแผนก็จะมีการปรับปรุงจนกว่าจะดีขึ้นนั่นเอง นอกจากนั้นจะเห็นว่ามีการนำวรรณกรรมสำคัญมาชำระ ปรับปรุงและแต่งใหม่ ทำให้วรรณกรรมเรื่องและรายละเอียดต่างๆ มีความสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ที่สำคัญการ กวีในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้เลือกคัดวรรณกรรมที่รวบรวมและเรียบเรียงเป็นระเบียบแล้วนั้นมาปรับปรุงคุณภาพทางวรรณศิลป์ เรื่อง อิเหนา และรามเกียรติ์ เป็นต้น

เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ ๒ นั้น มีกวีเด่นๆจำนวนมาก และกวีดังกล่าวมีความสามารถเฉพาะตัวต่างๆกัน ทำให้งานสร้างสรรค์วรรณคดีสมัยนั้นเป็นงานที่หลากหลายในประเภทของวรรณกรรม คือมีวรรณกรรมประเภทต่างๆมากมาย และวรรณกรรมแต่ละประเภทมีความงามพิเศษตามความถนัดของกวีด้วย ซึ่งกวีดังกล่าวเป็นกวีที่มีความรู้และความสามารถสูงทั้งสิ้น งานวรรณคดีประเภทต่างๆตามความถนัดของกวีจึงมีคุณภาพสูงส่งเป็นที่ยอมรับจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

ข้อมลูจาก วิชุนรา

การวิจารณ์วรรณกรรมในศตวรรษที่ 20

          การวิจารณ์ในศตวรรษที่ 20 มีผลสืบเนื่องมาจากสมัยศตวรรษที่19 ก็คือ มีทิศทางการแต่งวรรณคดีเปลี่ยนไป ความนิยมกวีนิพนธ์ลดความเข้มข้นลง นิยมร้อยแก้ว ก็คือ นวนิยาย แนวการแต่งวรรณคดีก็เป็นแนวโรแมนติก มีความคิดและการปฏิบัติอย่างจริงจังจนสามารถตั้งเป็น ทฤษฎีโรแมนติก ขึ้นนั่นเอง            นักวิจารณ์วรรณคดีได้พิจารณาว่า สิ่งแวดล้อมเชิงวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์กับการแต่ง กล่าวว่า วัฒนธรรมเป็นเครื่องชี้คุณค่าของวรรณคดี นั่นเองทฤษฎีโรแมนติก สรุปได้ดังนี้

-     เรื่องราวที่นำมาเขียนมักจะเกี่ยวกับความรู้สึกส่วนตัว เช่น ความรัก ความทุกข์ ความเหงา-     เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการปกครอ

-      เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความคิดฝัน ศิลปะที่ลี้ลับ เข้าใจยาก                ต่อมาเรื่องราวโรแมนติกเปลี่ยนแปรไปทางกาเขียน มีการเขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เรียกว่า สัจนิยม (Realism) มีทั้งการสื่อโดยตรงและโดยการใช้สัญลักษณ์ จึงเรียกความคิดนี้ว่า แนวคิดสัญลักษณ์นิยม(symbolism)

นักโรแมนติกบางกลุ่มเห็นว่า ความจริงที่นำมาเขียน ควรเต็มไปด้วยคุณธรรม กลุ่มนี้จึงได้ชื่อว่า กลุ่มอุดมคตินิยม(Idealism) คือมุ่งเขียนเกี่ยวกับหลักคุณธรรม                ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้มีผลกระทบต่อแนวคิดโรแมนติก การเปลี่ยนแปลงนี้กลายเป็นเนื้อหาสำคัญในการแต่งนิยายต่างๆของประเทศในแถบยุโรป                นักทฤษฎีวิจารณ์ที่ชื่อ ชาร์ลส์ แซงค์เบิฟ ได้สรุปหลักการวิจารณ์ จนเป็นที่ยอมรับกันในหมู่นักวรรณคดีทุกฝ่าย จึงสรุปได้ว่า การวิจารณ์ในศตวรรษที่ 19 ได้วางหลักการแต่งวรรณคดีแนวโรแมนติกไว้ และได้ให้วิธีการวิเคราะห์ที่ต้องประกอบด้วยหลัดแห่งความจริงทั้งทางจิตใจและวัตถุ หลักแห่งสัญลักษณ์ และหลักแห่งศิลปะที่ประณีตงดงาม หรือสุนทรียะ                ต่อมาในตอนต้นคริสต์วรรษที่20 รูปแบบของการแต่งวรรณกรรมและจุดประสงค์ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้หลักการวิจารณ์วรรณคดีต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์นั้นด้วย คือเปลี่ยนจากแนว ปฏิฐานนิยมที่ใช้ข้อมูลภายนอกมาเป็นความสนใจในตัวบทมากขึ้น                ในเวลาต่อมาได้เกิดกลุ่มนักวิจารณ์เชิงมนุษยธรรมนิยมแนวใหม่ ซึ่งหลักการคือ การวิจารณ์ถึงศาสตร์ต่างๆที่แฝงอยู่ในวรรณกรรม ซึ่งผู้แต่งจะจงใจแสดงออกหรือไม่ก็ตาม

                ความก้าวหน้าทางสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ทำให้นักวิจารณ์นำศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สังคมวิทยา จิตวิทยา มานุษยวิทยา ภาษาศาสตร์เข้ามาเป็นระเบียบวิธีศึกษาวรรณกรรม ทำให้เกิดวิธีการใหม่ ๆ ในการอ่านและวิจารณ์วรรณกรรมมากยิ่งขึ้น                ในปลายศตวรรษที่ 20 ให้ความสำคัญกับตัวบทมากกว่าสิ่งใด เป็นเหตุให้นักคิดบางกลุ่มเริ่มอธิบายสังคมในเชิงระบบและโครงสร้างจนกำเนิดเป็นแนวคิดแบบโครงสร้างนิยม (structuralism) หนึ่งในนักคิดแนวโครงสร้างนิยมที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในศตวรรษที่ 20 และถือว่าเป็นเสาหลักแห่งแนวคิดแบบโครงสร้างนิยมคือ โรล็องด์  บาร์ธส์ (Roland Barthes) และการวิจารณ์แนวใหม่ล่าสุดคือ การวิจารณ์แนวรื้อสร้าง ของ ฌากส์ แดริดา นักวิจารณ์วรรณกรรมที่สำคัญในศตวรรษที่ 20 คือ แฟร์ดิน็อง เดอ โซซูร์และ โรล็องด์ บาร์ธส์ 

เราสรุปลักษณะการวิจารณ์วรรณกรรมในศตวรรษที่20 ได้ดังนี้

 1. การวิจารณ์แบบอิงตัวบทเป็นหลัก การวิจารณ์แบบนี้ ได้แก่ การวิจารณ์แนวโครงสร้างนิยม และรูปแบบนิยมของรัสเซีย การวิจารณ์แนวใหม่ของ ไอ.เอ.ริชาร์ดส์

2. การวิจารณ์ที่เน้นบทบาทของผู้อ่าน ความสัมพันธ์ระหว่างงานเขียนกับผู้อ่าน เพราะผู้อ่านเป็นผู้กำหนดคุณค่า และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่ที่จะตีความหมาย เป็นการให้ความสำคัญแก่ผู้อ่าน

3. การวิจารณ์วรรณกรรมที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างวรรณคดีกับสังคม เริ่มตั้งแต่              คริสต์ศตวรรษที่ 19 นักวิจารณ์แนวสังคมนิยมในศตวรรษที่ 20 กล่าวว่า วิวัฒนาการของวรรณกรรมจะเกิดควบคู่ไปกับวิวัฒนาการทางสังคมเสมอ และรูปแบบวรรณคดีมักจะสอดคล้องกับทุกช่วงของวิวัฒนาการทางสังคม- การวิจารณ์เชิงสังคมมักจะให้ความสำคัญกับโลกทัศน์ของผู้แต่ง เพราะจะสะท้อนปัญหาสำคัญของยุค และความทุกข์ยากของประชาชนออกมาทางตัวละคร  

4. การวิจารณ์วรรณกรรมที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างงานเขียนกับผู้แต่ง เป็นการวิจารณ์แนวในแนวจิตวิเคราะห์

 - คำนึงถึงผู้แต่งเป็นสำคัญ - ศึกษาข้อมูลภายนอก เช่น เข้าใจความคิดของผู้แต่ง

 - การศึกษาแนวนี้ทำให้เราทราบจุดกำเนิดของงานเขียน ทำให้รู้ตัวตนของผู้แต่ง

ข้อมลูจาก  วิชุนรา

ความรู้เกี่ยวกับการอ่าน

ความหมายของการอ่าน

 การอ่าน คือ การรับรู้ข้อความในการเขียนของตนเองหรือของผู้อื่น รวมถึงการการรับรู้ความหมายจากเครื่องหมายและสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น สัญลักษณ์จราจรเครื่องหมายที่แสดงบนแผนที่ เป็นต้น การรับรู้ข้อความ เข้าใจเรื่องราว หรือได้รับรสความบันเทิงใจตรงตามจุดประสงค์ของผู้เขียนเป็นการอ่านที่ดีและได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

 ความสำคัญของการอ่าน
ดังนั้นการสื่อสารกันโดยการอ่านจึงมีความสำคัญมาก นอกจากนั้นผู้อ่านจำนวนมากยังต้องการอ่านเพื่อแสวงหาความรู้และความบันเทิงจากหนังสืออีกด้วย
 
จุดมุ่งหมายของการอ่าน      
๑. การอ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้า
คือ ต้องการได้รับความรู้จากเนื้อเรื่องที่อ่าน เช่น การอ่านหนังสือประเภทตำรา สารคดี หรือหนังสืออ่านเพิ่มเติมของนักเรียนและนักศึกษา เพื่อรู้และเข้าใจเรื่องราวตามหลักสูตร และอ่านวารสาร หนังสือพิมพ์ และข้อความต่าง ๆ เพื่อให้ทราบเรื่องราวอันเป็นข้อความรู้ หรือเหตุการณ์บ้านเมือง บ้านเมือง ผู้ประกอบอาชีพต่างๆก็ต้องอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในสาขาอาชีพของตนหรือเพื่อทำความเข้าใจวิทยาการใหม่ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองให้ก้าวหน้าแม้แต่ในหนังสือประเภทบันเทิงคดีสำหรับบุคคลทั่วไป ก็ยังให้ความรู้ควบคู่ไปกับความบันเทิง เพราะบุคคลทั่วไปอ่านหนังสือต่างๆ เพื่อขยายความรู้ ความสนใจให้กว้างขวาง
 
๒. การอ่านเพื่อความบันเทิง
บุคคลบางประเภทมีความชอบที่จะอ่านเพื่อความบันเทิงมากกว่าอ่านเพื่อความรู้ เนื่องจากว่า ความบันเทิงเป็นอาหารทางใจซึ่งมีความจำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์เช่นเดียวกันกับอาหารและอากาศ จึงมักจะเลือกอ่านแต่หนังสือที่ส่งเสริมสุขภาพจิตให้แจ่มใส มีความสุข คนไทยเรานั้นใช้การอ่านเป็นเครื่องให้ความบันเทิงใจมาเป็นเวลาติดต่อกันนานหลายปีแล้ว เห็นได้จากนิทานร้อยแก้วและนิทานคำกลอนสำหรับอ่าน กลอนเพลงยาว นิราศ ตลอดจนวรรณกรรมอื่นๆที่ถูกแต่งขึ้นอย่างมากมายแลหลากหลายในสมัยก่อน ล้วนแต่มีส่วนให้ความบันเทิงใจแก่ผู้อ่านทั้งสิ้น จวบจนปัจจุบันนี้ก็มียัง นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี การ์ตูนมีภาพประกอบต่างๆ มากมายเพื่อสร้างรอยยิ้มความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับผู้อ่านโดยวิธีการอ่านง่ายๆและสามารถทำ ได้หลายโอกาส เช่น ระหว่างที่คอยบุคคลที่นัดหมาย คอยเวลารถไฟออก เป็นต้น หรืออ่านหนังสือประเภทบันเทิงคดีในเวลาว่าง


๓. การอ่านเพื่อความคิดหรือเพื่อสนองความต้องการอื่นๆ
   นอกจากความต้องการในการหาความรู้และความบันเทิงแล้ว คนบางคนยังแสวงหา
คำตอบอื่นๆให้กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิดทางปรัชญา วัฒนธรรม จริยธรรม และความคิดเห็นทั่วไป ที่จะมักแทรกอยู่ในหนังสือแทบทุกประเภท การศึกษาแนวคิดของผู้อื่น เพื่อเป็นแนวทางความคิดของตนเองและอาจนำมาเป็นแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ หรืออ่านเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ กล่าวคือการอ่านหนังสือมากๆ  จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี รู้จักการวางตัวที่เหมาะสม มีความคิดกว้างขวาง ทันสมัย สามารถแก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โดยอาจเรียนรู้จากเรื่องราวในหนังสือที่เป็นคติสอนใจหรือเป็นอุทาหรณ์
 
ความสำคัญของการอ่าน
1. การอ่านหนังสือทำให้ได้เนื้อหาสาระความรู้มากกว่าการศึกษาหาความรู้ด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฟัง
2. ผู้อ่านสามารถอ่านหนังสือได้โดยไม่มีการจำกัดเวลาและสถานที่ สามารถนำไปไหนมาไหนได้
3. หนังสือเก็บได้นานกว่าสื่ออย่างอื่นซึ่งมักมีอายุการใช้งานจำกัด
4. ผู้อ่านสามารถฝึกการคิดและสร้างจินตนาการได้เองในขณะอ่าน
5. การอ่านส่งเสริมให้มีสมองดี มีสมาธินานกว่าและมากกว่าสื่ออย่างอื่น ทั้งนี้ เพราะขณะอ่าน จิตใจจะต้องมุ่งมั่นอยู่กับข้อความ พินิจพิเคราะห์ข้อความนั้นๆ
6. ผู้อ่านเป็นผู้กำหนดการอ่านได้ด้วยตนเอง จะอ่านคร่าวๆ อ่านละเอียด อ่านข้ามหรืออ่านทุกตัวอักษรเป็นไปตามใจของผู้อ่านหรือจะเลือกอ่านเล่มไหนก็ได้ เพราะหนังสือมีมาก  สามารถเลือกอ่านเองได้
7. หนังสือมีหลากหลายรูปแบบและราคาถูกกว่าสื่ออย่างอื่น จึงทำให้สมองของผู้อ่านเปิดกว้าง สร้างแนวคิดและทัศนคติได้มากกว่า ทำให้ผู้อ่านไม่ติดยึดอยู่กับแนวคิดใดๆโดยเฉพาะ
8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเองวินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหนังสือบางเล่มสามารถนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดี
 
ประเภทของการอ่าน
การอ่านแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
1. การอ่านแบบกวาด (Scanning) เป็นการมองหาประเด็นสำคัญอย่างรวดเร็วเช่น หาหน้า หาชื่อเรื่อง หาคำสำคัญบางคำประเด็นสำคัญของการอ่านแบบนี้คือ นักเรียนตั้งใจที่จะมองข้ามสิ่งอื่นๆ นอกจากสิ่งที่นักเรียนต้องการหา
2. การอ่านอย่างคร่าวๆ (Skimming) คือการอ่านอย่างเร็วๆ เพื่อดูว่ามีเนื้อหาสาระอะไรที่น่าสนใจบ้าง โดยไม่ตั้งใจที่จะค้นหาสิ่งที่เฉพาะเจาะจงเหมือนอย่างการอ่านกวาดเช่น นักเรียนหยิบหนังสือเกี่ยวกับสังคมขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วพลิกอ่าน มองหาแนวคิดสำคัญๆในแต่ละย่อหน้า มองดูชื่อบทและอื่นๆ เพื่อสำรวจว่าหนังสือเล่มนี้ น่าสนใจ หรือมีประโยชน์ที่นักเรียนจะใช้ได้หรือไม่
3. การอ่านแบบสบายๆ เป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่อ่านหนังสือกัน เช่น การอ่านนิยายการ์ตูน วารสารเพื่อความบันเทิง บ่อยครั้งการ์ตูน วารสารเพื่อความบันเทิง บ่อยครั้งเป็นการอ่านเพื่อหลบหนีจากโลกจริงที่มีแต่ปัญหาและความยุ่งยากใจไปสู่อีกโลกหนึ่ง เราไม่มีความจำเป็นต้องย่อยเนื้อหาเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องอ่านอย่างพินิจพิจารณา การอ่านวิธีนี้จะอ่านได้อย่างรวดเร็ว และผิวเผิน การอ่านเช่นนี้มีคุณค่าที่สำคัญคืออ่านเพื่อความบันเทิง ทำให้เกิดความสุข ความโล่งใจ ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดได้
4. การอ่านเพื่อการศึกษา การอ่านหนังสือประเภทตำราวิชาการต่างๆ จุดมุ่งหมายก็คือต้องการที่จะทำความเข้าใจในเนื้อหาวิชาอย่างแท้จริง การอ่านแบบนี้ต้องอ่านอย่างตั้งใจ จับประเด็นสำคัญที่อ่านให้ได้ สามารถโยงความสัมพันธ์ในสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันได้ การอ่านเพื่อการศึกษาควรจดโน้ตย่อใจความ หรือหัวข้อสำคัญที่ได้อ่านมาด้วย
5. การอ่านแบบคำต่อคำ มีหนังสือหรือบทความบางอย่างที่ต้องการอ่านแบบคำต่อคำ เช่น หนังสือสัญญา หนังสือภาษาต่างประเทศสูตรคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เราอ่านภาษาต่างประเทศแบบคำต่อคำ ในกรณีที่เราเพิ่งเรียนรู้ภาษานั้นๆ คำทุกคำเป็นคำใหม่ที่เราไม่คุ้นเคย สำหรับคนที่อ่านภาษาต่างประเทศได้คล่องแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเขาอาจจะอ่านแบบอื่นๆ ได้ ทำนองเดียวกับการอ่านหนังสือภาษาไทย สูตรคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ต้องให้ความสนใจมาก เพราะสูตรเป็นวิธีย่อ เพื่อให้ได้ข้อความที่มีความหมายยาวขึ้น โดยไม่เสียเวลาอธิบาย