ฉันเอาฟ้าห่มให้ หายหนาว
ดึกดื่นกินแสงดาว ต่างข้าว
น้ำค้างพร่างกลางหาว หาดื่ม
ไหลหลั่งกวีไว้เช้า ชั่วฟ้าดินสมัย
เมื่อพิจารณาโครงสร้างทางภาษาและความหมายของบทกวีนี้แล้ว
อาจกล่าวได้ว่าบทกวีก่อนนี้ประกอบด้วยโครงสร้างสองระดับ ซึ่งเขียนเป็นผังได้ดังนี้
ในระดับที่หนึ่ง
ผู้กระทำ การกระทำ ผู้ถูกกระทำ ผลการกระทำ
ห่ม ฟ้า หายหนาว
ฉัน กิน แสงดาว หายหิว
ดื่ม น้ำค้าง หายกระหาย
ในระดับที่สอง
ผู้กระทำ การกระทำ ผู้ถูกกระทำ ผลการกระทำ
ฉัน ไหลหลั่ง บทกวี บทกวีเป็นอมตะ
(ผลรวมจากระดับที่หนึ่ง
ผู้ห่มฟ้า/กินแสงดาว/ดื่มน้ำค้าง)
/การดื่มน้ำ และกวี/ปุถุชน
การอ่านแบบรื้อสร้างนั้นจะเป็นการสานต่อและต่อต้านวิธีการแบบโครงสร้างข้างต้นได้ดังนี้
แม้ว่าบทกวีก่อนนี้จะสถาปนาโครงสร้างที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าอันสูงส่งของกวีนิพนธ์และกวี แต่ตรรกะของโครงสร้างที่บทกวีท่อนนี้สถาปนาไว้ โดยตัวมันเองแล้วเป็นการบั่นทอนคุณค่าของกวีนิพนธ์และกวีอยู่ในที
กล่าวคือจากโครงสร้างข้างต้นเราจะเห็นว่า
“ฉัน” ในบทกวีแม้จะดูเหมือนว่ายิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าปุถุชนทั่วไป
แต่เราก็พบว่า “ฉัน” นั้นมิได้หลุดจากความต้องการทางกายภาพของมนุษย์ นั่นคือยังรู้หนาว รู้หิวและกระหาย และยิ่งกว่านั้น “ฉัน” มิอาจหลุดพ้นจากกิจกรรมการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ไปได้
เพราะยังคงต้องห่ม ต้องกินและดื่ม ที่สำคัญไปกว่านั้นกิจกรรมการบริโภคกลายเป็นเงื่อนไขกำหนดการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์
ระบบคู่ตรงกันข้ามระหว่าง จิตวิญญาณ/วัตถุ
นั้น ในท้ายที่สุดจึงสื่อความหมายทั้งสองทิศทางที่ตรงข้ามกัน คือทั้งในด้านที่จิตวิญญาณสูงส่งกว่าวัตถุ
และวัตถุสูงส่งกว่าจิตวิญญาณ
และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ
โครงสร้างความสัมพันธ์ของหน่วยความหมายที่บทกวีชิ้นนี้สถาปนาขึ้น ในท้ายที่สุดแล้ว มีส่วนสำคัญในการล้มล้างคุณค่าของกวีนิพนธ์
และกวีที่บทกวีชิ้นนี้พยายามจะสื่อ เพราะวาทกรรมที่บทกวีชิ้นนี้ใช้เพื่อนำเสนอกระบวนการสร้างกวีนิพนธ์คือ
“กวีแปรรูปธรรมชาติเพื่อผลิตงานประพันธ์”
ซึ่งไม่ต่างจากวาทกรรมของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่พูดถึงการผลิตสินค้าว่าคือ
“นายทุนแปรรูปวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า”
เมื่อหันมาพิจารณาที่คำกริยา
“ไหลหลั่ง” ซึ่งทำหน้าที่เสมือนแกนกลางทางความหมายของโคลงบทนี้ และเป็นอุปลักษณ์เชิงอุทกที่งดงาม เราจะพบว่าโดยปกติแล้วคำกริยานี้จะปรากฏในบริบทที่ไม่ใช่กิจกรรมการประพันธ์
กล่าวคือ เราไม่คาดหวังว่ากรรมของกริยาจะเป็นบทกวี แต่คำว่า “ไหลหลั่ง” จะเข้ากันได้ดีกับบริบทที่สื่อถึงกิจกรรมทางเพศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการสืบพันธุ์
โดยนัยนี้จึงเท่ากับว่าตัวละครกวีได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพ่อของบทกวีที่ตนสร้างขึ้น
และตัวบทกวีก็ลดสถานะลงมาเป็นเพียงลูกหรือผลผลิตของกวี หากเราเชื่อตามตรรกะที่ปรากฏในโคลงบทนี้ว่า
บทกวีที่สร้างขึ้นนั้นเป็นอมตะ ข้อสรุปที่ตามมาอย่างมิอาจปฏิเสธได้คือ ตัวละครกวีใช้บทกวีเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นอมตะให้แก่ตนเอง
สรุป
จากที่กล่าวมาทั้งหมด
พอจะเห็นได้ว่าการอ่านวรรณกรรมในแนวรื้อสร้าง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ศึกษาวรรณกรรมได้
“เล่น” กับคติความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ที่แฝงอยู่ในตัวบทวรรณกรรม
โดยที่ผู้แต่งจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
และไม่ว่าอย่างไร
“การเล่น” ดังกล่าวนี้ ต้องอิงอยู่กับความรู้พื้นฐานที่หนักแน่น
“ผู้เล่น” ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและโครงสร้างได้อย่างเชี่ยวชาญ
แล้วจึงจะกระทำกิจกรรมการ “รื้อสร้าง” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทฤษฎีรื้อสร้าง
เพิ่งจะเริ่มความคิดในปี ค.ศ. 1966
บาร์ธส์และแดริดา เพิ่งจะเริ่มนำไปทดลองใช้วิจารณ์วรรณกรรมราวปีทศวรรษที่
1980 เรายังคงตอบไม่ได้ว่าทฤษฎีนี้จะได้รับความนิยมเพียงไร
มีช่องโหว่ในตัวเองหรือไม่ คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งเราจึงจะรู้ผลของทฤษฎีนี้ได้
แต่บทวิจารณ์แนวรื้อสร้างของ ชูศักดิ์
ภัทรกุลวณิชย์ ที่ได้พยายามจะตรวจสอบคุณค่าของกวีนิพนธ์บทนี้ด้วยการรื้อความหมายที่เราเข้าใจและยอมรับคุณค่ากันมานานแล้ว
คุณค่าของกวีนิพนธ์บทนี้จะยังคงความหมายอันจริงแท้ (absolute truth) ความหมายที่มีคุณค่าจริงๆ
ต่อมนุษย์ต่อไปอีกได้หรือไม่
ในต่างประเทศมีนักวิจารณ์บางคนให้ความเห็นว่า
การวิจารณ์แนวรื้อสร้างคงได้รับความนิยมไม่นาน เพราะไม่มีหลักเกณฑ์และเหตุผลอันใดที่จะเชื่อถือและยึดมั่นได้
โดย วิชุนรา
อ้างอิง
ลินจง จันทรวราทิตย์. 2548. วรรณกรรมวิจารณ์. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.