การวิจารณ์กวีนิพนธ์ในอดีต
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา
หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนเกี่ยวกับการวิจารณ์วรรณคดี ซึ่งคู่กับการแต่งหนังสือก็คือ
จินดามณี ของพระโหราธิบดี แห่งรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (๒๑๙๙-๒๒๓๑)
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวิจารณ์วรรณคดีคือตอนที่อธิบายถึงวิธีแต่งกาพย์กลอน
พร้อมทั้งตัวอย่างฉันท์ ซึ่งคัดมาจากคำฉันท์เรื่องต่างๆ มากมาย
รวมทั้งตัวอย่างโคลงที่คัดมาจากลิลิตพระลอด้วย
หากสมมุติฐานว่า
“การศึกษาทางวรรณคดีวิจักษ์ (หรือความตระหนักค่าของวรรณคดี)
และวรรณคดีวิจารณ์อยู่คู่กับการศึกษาการแต่งหนังสือ” เป็นที่ยอมรับอย่างทั่วไปแล้ว
ก็ย่อมสรุปได้ว่า จินดามณีเป็นหนังสือไทยที่ให้แนวทางวรรณคดีวิจารณ์เล่มแรก
และพระโหราธิบดีก็นับได้ว่าเป็นผู้วิจารณ์วรรณคดีคนแรกของไทย
ด้วยการวินิจฉัยตัดสินเพื่อคัดเลือกตัวอย่างร้อยกรองที่ไพเราะเหมาะสมที่จะใช้เป็นแบบอย่างสั่งสอนกุลบุตรผู้ศึกษา
สรุปได้ว่า
ต้นแบบแนวคิดการวิจารณ์วรรณคดีของไทยนั้นมาจากอินเดียโบราณหรือวรรณคดีสันสกฤต
แล้วคนไทยได้นำมาผสมผสานอย่างแนบเนียนกับวิญญาณแห่งนักวิจารณ์ของคนไทย
ซึ่งเน้นความมีระเบียบแบบแผน ความประณีตงดงาม และมีคุณค่า
ตามประวัติวรรณคดีไทย
ตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยต้นรัตนโกสินทร์ลักษณะการแต่ง แนวคิด
และวัฒนธรรมในทางวรรณคดีไทยมีลักษณะเป็นมรดกวัฒนธรรมอินเดียโบราณ
ทั้งวัฒนธรรมของลัทธิฮินดู หรือลัทธิพราหมณ์
ดั้งนั้นการวิเคราะห์วิจารณ์นอกจากจะใช้แนวทางสากลแล้ว
อาจจะต้องใช้ความรู้ทางอารยธรรมอินเดียประกอบด้วยตามสมควร
การวิจารณ์ในรัชกาลที่
๒
ในรัชกาลที่
๒ จัดว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณกรรม จนกล่าวได้ว่า “ถ้าใครเป็นกวีก็เป็นคนโปรด”
เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองมีความสงบ พระมหากษัตริย์และกวีต่างๆ จึงให้ความสนใจในวรรณกรรมเพื่อความเพลิดเพลินมากขึ้น
เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองมีความสงบ พระมหากษัตริย์และกวีต่างๆ จึงให้ความสนใจในวรรณกรรมเพื่อความเพลิดเพลินมากขึ้น
วรรณกรรมในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยอยู่ในระยะเวลาก่อนรับอิทธิพลตะวันตก
ลักษณะของวรรณกรรมคือ นิยมแต่งเป็นร้อยแก้ว เน้นหนักในด้านศิลปะของการแต่ง
เรียบเรียง คุณค่าของวรรณคดีในยุคนี้จึงอยู่ที่ศิลปะการแต่งมากกว่าเนื้อเรื่อง
จึงทำให้เนื้อเรื่องในยุคนี้จำกัดอยู่ในวงแคบ ซึ่งเกี่ยวกับศาสนา คำสอน
ส่วนธรรมเนียมในการแต่งนั้น
มีการวางโครงสร้างอย่างมีแบบแผน ทั้งยังมีธรรมเนียมนิยมในการบรรยายและการพรรณนาอย่างเข้าแบบ
จึงนับได้ว่ามีลักษณะทางมัณฑศิลป์ มีสำนวนประดิษฐ์ เล่นคำ เล่นเสียง เล่นความ
และโวหารเป็นสิ่งสำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ
ซึ่งธรรมเนียมนิยมในระยะนี้คือการแต่งเป็นร้อยกรองยาวๆ
เป็นวรรณกรรมเพื่ออารมณ์มากกว่าที่จะเป็นวรรณกรรมเพื่อปัญญา ซึ่งในสมัยนี้กวีมีความเป็นอยู่สอดคล้องกับสังคมซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่อช้า
พอใจในสภาพความเป็นอยู่ของตน จึงไม่มีบทประพันธ์ขัดแย้ง ดิ้นรน
หรือแสดงความเดือดร้อนและการกดดันใดๆในด้านที่เกี่ยวกับศาสนา พระมหากษัตริย์
ส่วนวรรณคดีที่เป็นประเภทร้อยแก้วนั้น ผู้แต่งมีความมุ่งหมายเพื่อให้เป็นหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าให้เป็นวรรณคดี
แต่เนื่องจากมีการเรียบเรียงที่สละสลวย จึงได้รับการยกย่องให้เป็นวรรณคดีนั่นเอง
วรรณกรรมไทยยกย่องช่วงเวลาสมัยรัชกาลที่ ๒
ว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีไทยเนื่องจากวรรณกรรมสมัยนี้มีคุณค่าทางวรรณศิลป์สูงส่ง
เหตุผลสำคัญที่ทำให้การส่งเสริมวรรณกรรมประสบผลสำเร็จอาจประมวลได้จากการที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ทรงพระปรีชาด้านอักษรศาสตร์อย่างแท้จริง
ทรงศึกษาอักษรศาสตร์จากพระอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง คือ สมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่)
วัดระฆัง ประกอบกับทรงสนพระราชหฤทัยจริงจังในพระราชกรณียกิจนี้ด้วย
ทำให้งานส่งเสริมวรรณกรรมเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
นอกจากจะทรงสนพระทัยวิชาอักษรศาสตร์แล้ว
ยังทรงสนพระทัยศิลป์ด้านอื่นๆ อันเป็นเหตุเกื้อหนุนวรรณคดีเป็นอย่างมากด้วย
กล่าวคือเมื่อทรงส่งเสริมดนตรี บทขับร้องและบทเสภาก็พลอยได้รับการส่งเสริม
การละครก็เช่นกัน
วรรณกรรมบทละครเจริญสูงสุดสมัยนั้นก็เพราะการส่งเสริมการละครทั้งละครและละครในนั่นเอง
การส่งเสริมวรรณกรรมสมัยนั้นกระทำอย่างมีระเบียบแบบแผนและถูกต้องตามหลักวิชาการ
กล่าวคือได้จัดตั้งวงกวีขึ้นในราชสำนัก มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นองค์ประธานประกอบด้วยหลักกวีสำคัญๆอีกเป็นอันมาก
งานวรรณกรรมเรื่องใหญ่ๆถูกจัดสรรให้กวีรับไปแต่งตามความถนัดของตน
และเมื่อแต่งแล้วยังโปรดให้นำมาอ่านให้ที่ประชุมวิจารณ์อีก
อาจกล่าวได้ว่าการวิจารณ์วรรณกรรมไทยได้เริ่มต้นขึ้นในสมัยนั้น เมื่อกวีสร้างวรรณกรรมขึ้นตามขั้นตอนดังกล่าว
วรรณกรรมจึงมีคุณภาพทางวรรณศิลป์อย่างแท้จริง
การส่งเสริมวรรณกรรมสมัยนั้นมีรากฐานสำคัญจากการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่
๑ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงรวบรวมวรรณกรรมเก่าอย่างจริงจัง
และทรงนำวรรณกรรมสำคัญมาชำระ ปรับปรุงและแต่งใหม่
ทำให้วรรณกรรมเรื่องและรายละเอียดต่างๆ สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ
การส่งเสริมวรรณคดีในสมัยรัชกาลที่ ๒ จึงตัดภาระเรื่องการสืบหาต้นฉบับการลำดับเนื้อเรื่องและรายละเอียดไปได้
กวีในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้เลือกคัดวรรณกรรมที่รวบรวมและเรียบเรียงเป็นระเบียบแล้วนั้นมาปรับปรุงคุณภาพทางวรรณศิลป์
เรื่อง อิเหนา และรามเกียรติ์ เป็นต้น
สมัยรัชกาลที่ ๒ มีกวีเด่นๆเป็นจำนวนมาก
(เป็นผลมาจากการฟื้นฟูวรรณกรรมสมัยรัชกาลที่ ๑ ด้วย )
และกวีเด่นดังกล่าวมีความสามารถเฉพาะตัวต่างๆกัน
ทำให้งานสร้างสรรค์วรรณคดีสมัยนั้นเป็นงานที่หลากหลายในประเภทของวรรณกรรม
คือมีวรรณกรรมประเภทต่างๆมากมาย
และวรรณกรรมแต่ละประเภทมีความงามพิเศษตามความถนัดของกวีด้วย เช่น
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงถนัดพระราชนิพนธ์กลอนละคร
กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงถนัดด้านโคลงและฉันท์ พระยาตรังค์ฯ ถนัดด้านโคลงดั้น
นายนรินทรธิเบศร์ทางโคลงสุภาพ และสุนทรภู่ถนัดทางกลอนทั่วไป เป็นต้น
กวีดังกล่าวเป็นกวีที่มีความรู้และความสามารถสูงทั้งสิ้น
งานวรรณคดีประเภทต่างๆตามความถนัดของกวีจึงมีคุณภาพสูงส่งเป็นที่ยอมรับจนทุกวันนี้
กวีสมัยรัชกาลที่ ๒ มีหลากหลายท่านที่ปรากฏซื่อเด่นมากคือ
๑.พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
๒.กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
๓.สมเด็จพระมหาสมณะเจ้า
กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
๔.พระยาตรังคภูมิบาล
๕.พระสุนทรโวหาร (ภู่)
๖.นายนรินทรธิเบศร์ (อิน)
นอกจากนั้น ยังมีกวีไม่ปรากฏนาม
แต่มีผลงานที่น่าสนใจอีกส่วนหนึ่งด้วย
สรุป
วรรณคดีไทยในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
โดยเฉพาะละครคำกลอนได้เจริญเฟื่องฟูอย่างยิ่ง ราชสำนักของพระองค์เป็นที่ชุมนุมของกวี นักปราชญ์
สำหรับพระองค์ก็ทรงสนพระทัยและสนับสนุนด้านการละครอย่างมาก โดยทรงโปรดให้หัดตัวละครรุ่นใหม่ๆ
ขึ้น บทละครบางเรื่องทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเพื่อให้ใช้สำหรับเล่นละคร
ในการทรงบทละครนั้น ทรงเลือกสรรเจ้านายและข้าราชการที่เป็นกวีชำนาญกลอนไว้สำหรับทรงปรึกษา
เช่น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี และขุนสุนทรโวหาร
บทละครใดที่ไม่ได้พระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง ก็จะพระราชทานให้กวีที่ปรึกษานำไปแต่ง
ตอนใดที่ทรงพระราชนิพนธ์ หรือกวีทีนำไปแต่งแล้วนำมาถวาย
ก็จะนำมาอ่านหน้าพระที่นั่งในที่ประชุมกวีเพื่อช่วยกันแก้ไข
จะเห็นว่า
การวิจารณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือ การที่มีการนำงานที่ประพันธ์ขึ้นมาอ่านให้ที่ประชุมวิจารณ์อีก
หากมีการแต่งบกพร่องหรือไม่ครบตามแบบแผนก็จะมีการปรับปรุงจนกว่าจะดีขึ้นนั่นเอง
นอกจากนั้นจะเห็นว่ามีการนำวรรณกรรมสำคัญมาชำระ ปรับปรุงและแต่งใหม่
ทำให้วรรณกรรมเรื่องและรายละเอียดต่างๆ มีความสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ที่สำคัญการ
กวีในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้เลือกคัดวรรณกรรมที่รวบรวมและเรียบเรียงเป็นระเบียบแล้วนั้นมาปรับปรุงคุณภาพทางวรรณศิลป์
เรื่อง อิเหนา และรามเกียรติ์ เป็นต้น
เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ ๒ นั้น มีกวีเด่นๆจำนวนมาก
และกวีดังกล่าวมีความสามารถเฉพาะตัวต่างๆกัน
ทำให้งานสร้างสรรค์วรรณคดีสมัยนั้นเป็นงานที่หลากหลายในประเภทของวรรณกรรม
คือมีวรรณกรรมประเภทต่างๆมากมาย
และวรรณกรรมแต่ละประเภทมีความงามพิเศษตามความถนัดของกวีด้วย
ซึ่งกวีดังกล่าวเป็นกวีที่มีความรู้และความสามารถสูงทั้งสิ้น
งานวรรณคดีประเภทต่างๆตามความถนัดของกวีจึงมีคุณภาพสูงส่งเป็นที่ยอมรับจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น