วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ตัวอย่างบทวิจารณ์วรรณกรรมแนวรื้อสร้าง

เพื่อแสดงให้เห็นวิธีการอ่านแนวรื้อสร้างจะขอยกตัวอย่างบทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ ชื่อ ปณิธานกวี โดยจะเลือกพิจารณาโคลงบทแรกเพียงบทเดียว ซึ่งเป็นบทที่นักอ่านส่วนใหญ่ต่างประทับใจ และสามารถท่องได้ คือ
ฉันเอาฟ้าห่มให้                   หายหนาว
                                ดึกดื่นกินแสงดาว                                ต่างข้าว
                                น้ำค้างพร่างกลางหาว                        หาดื่ม
                                ไหลหลั่งกวีไว้เช้า                               ชั่วฟ้าดินสมัย
เมื่อพิจารณาโครงสร้างทางภาษาและความหมายของบทกวีนี้แล้ว อาจกล่าวได้ว่าบทกวีก่อนนี้ประกอบด้วยโครงสร้างสองระดับ ซึ่งเขียนเป็นผังได้ดังนี้
ในระดับที่หนึ่ง
ผู้กระทำ                 การกระทำ                             ผู้ถูกกระทำ                           ผลการกระทำ
                                ห่ม                                          ฟ้า                                           หายหนาว
ฉัน                          กิน                                          แสงดาว                                 หายหิว
                                ดื่ม                                          น้ำค้าง                                    หายกระหาย
ในระดับที่สอง
ผู้กระทำ                 การกระทำ                             ผู้ถูกกระทำ                           ผลการกระทำ
ฉัน                          ไหลหลั่ง                               บทกวี                                     บทกวีเป็นอมตะ

(ผลรวมจากระดับที่หนึ่ง ผู้ห่มฟ้า/กินแสงดาว/ดื่มน้ำค้าง)


           จากโครงสร้างข้างต้น เราจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของหน่วยความหมายแต่ละหน่วยในบทกวีชิ้นนี้ได้ชัดเจนว่าบทกวีชิ้นนี้สื่อให้เห็นถึงคุณค่าอันสูงส่งของกวีและกวีนิพนธ์ ผ่านการสร้างคู่ตรงข้ามระหว่างจิตวิญญาณ-วัตถุ (โดยด้านที่เป็นจิตวิญญาณนั้นสื่อผ่านองค์ประกอบของจักรวาล ส่วนด้านที่เป็นวัตถุนั้นบทกวีใช้วิธีการละไว้ให้ผู้อ่านต่อเติมได้เอง) นั้นคือคู่ตรงข้ามระหว่างการห่มฟ้า/ห่มผ้าห่ม การกินแสงดาว/การกินข้าว และการดื่มน้ำค้างกลางหาว
/การดื่มน้ำ และกวี/ปุถุชน

การอ่านแบบรื้อสร้างนั้นจะเป็นการสานต่อและต่อต้านวิธีการแบบโครงสร้างข้างต้นได้ดังนี้
แม้ว่าบทกวีก่อนนี้จะสถาปนาโครงสร้างที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าอันสูงส่งของกวีนิพนธ์และกวี  แต่ตรรกะของโครงสร้างที่บทกวีท่อนนี้สถาปนาไว้ โดยตัวมันเองแล้วเป็นการบั่นทอนคุณค่าของกวีนิพนธ์และกวีอยู่ในที 
กล่าวคือจากโครงสร้างข้างต้นเราจะเห็นว่า ฉัน ในบทกวีแม้จะดูเหมือนว่ายิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าปุถุชนทั่วไป แต่เราก็พบว่า  ฉัน นั้นมิได้หลุดจากความต้องการทางกายภาพของมนุษย์ นั่นคือยังรู้หนาว  รู้หิวและกระหาย และยิ่งกว่านั้น ฉัน มิอาจหลุดพ้นจากกิจกรรมการอุปโภคบริโภคของมนุษย์ไปได้ เพราะยังคงต้องห่ม ต้องกินและดื่ม ที่สำคัญไปกว่านั้นกิจกรรมการบริโภคกลายเป็นเงื่อนไขกำหนดการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์
ระบบคู่ตรงกันข้ามระหว่าง จิตวิญญาณ/วัตถุ นั้น ในท้ายที่สุดจึงสื่อความหมายทั้งสองทิศทางที่ตรงข้ามกัน คือทั้งในด้านที่จิตวิญญาณสูงส่งกว่าวัตถุ และวัตถุสูงส่งกว่าจิตวิญญาณ
                และที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ โครงสร้างความสัมพันธ์ของหน่วยความหมายที่บทกวีชิ้นนี้สถาปนาขึ้น  ในท้ายที่สุดแล้ว มีส่วนสำคัญในการล้มล้างคุณค่าของกวีนิพนธ์ และกวีที่บทกวีชิ้นนี้พยายามจะสื่อ เพราะวาทกรรมที่บทกวีชิ้นนี้ใช้เพื่อนำเสนอกระบวนการสร้างกวีนิพนธ์คือ กวีแปรรูปธรรมชาติเพื่อผลิตงานประพันธ์  ซึ่งไม่ต่างจากวาทกรรมของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่พูดถึงการผลิตสินค้าว่าคือ นายทุนแปรรูปวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า
                เมื่อหันมาพิจารณาที่คำกริยา ไหลหลั่ง ซึ่งทำหน้าที่เสมือนแกนกลางทางความหมายของโคลงบทนี้  และเป็นอุปลักษณ์เชิงอุทกที่งดงาม เราจะพบว่าโดยปกติแล้วคำกริยานี้จะปรากฏในบริบทที่ไม่ใช่กิจกรรมการประพันธ์ กล่าวคือ เราไม่คาดหวังว่ากรรมของกริยาจะเป็นบทกวี แต่คำว่า ไหลหลั่ง จะเข้ากันได้ดีกับบริบทที่สื่อถึงกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการสืบพันธุ์
                โดยนัยนี้จึงเท่ากับว่าตัวละครกวีได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นพ่อของบทกวีที่ตนสร้างขึ้น และตัวบทกวีก็ลดสถานะลงมาเป็นเพียงลูกหรือผลผลิตของกวี หากเราเชื่อตามตรรกะที่ปรากฏในโคลงบทนี้ว่า บทกวีที่สร้างขึ้นนั้นเป็นอมตะ ข้อสรุปที่ตามมาอย่างมิอาจปฏิเสธได้คือ ตัวละครกวีใช้บทกวีเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นอมตะให้แก่ตนเอง

สรุป

                จากที่กล่าวมาทั้งหมด พอจะเห็นได้ว่าการอ่านวรรณกรรมในแนวรื้อสร้าง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ศึกษาวรรณกรรมได้ เล่น กับคติความเชื่อ ค่านิยม อุดมการณ์ที่แฝงอยู่ในตัวบทวรรณกรรม โดยที่ผู้แต่งจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
และไม่ว่าอย่างไร การเล่น ดังกล่าวนี้ ต้องอิงอยู่กับความรู้พื้นฐานที่หนักแน่น ผู้เล่น ต้องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลและโครงสร้างได้อย่างเชี่ยวชาญ แล้วจึงจะกระทำกิจกรรมการ รื้อสร้าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                ทฤษฎีรื้อสร้าง เพิ่งจะเริ่มความคิดในปี ค.ศ. 1966  บาร์ธส์และแดริดา เพิ่งจะเริ่มนำไปทดลองใช้วิจารณ์วรรณกรรมราวปีทศวรรษที่ 1980 เรายังคงตอบไม่ได้ว่าทฤษฎีนี้จะได้รับความนิยมเพียงไร มีช่องโหว่ในตัวเองหรือไม่ คงต้องรอให้เวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งเราจึงจะรู้ผลของทฤษฎีนี้ได้ แต่บทวิจารณ์แนวรื้อสร้างของ ชูศักดิ์  ภัทรกุลวณิชย์ ที่ได้พยายามจะตรวจสอบคุณค่าของกวีนิพนธ์บทนี้ด้วยการรื้อความหมายที่เราเข้าใจและยอมรับคุณค่ากันมานานแล้ว คุณค่าของกวีนิพนธ์บทนี้จะยังคงความหมายอันจริงแท้ (absolute truth)  ความหมายที่มีคุณค่าจริงๆ ต่อมนุษย์ต่อไปอีกได้หรือไม่
ในต่างประเทศมีนักวิจารณ์บางคนให้ความเห็นว่า การวิจารณ์แนวรื้อสร้างคงได้รับความนิยมไม่นาน เพราะไม่มีหลักเกณฑ์และเหตุผลอันใดที่จะเชื่อถือและยึดมั่นได้

โดย วิชุนรา 
อ้างอิง
ลินจง  จันทรวราทิตย์. 2548. วรรณกรรมวิจารณ์. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
               มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น